7/19/2011

สาระสำคัญเกี่ยวกับประกันภัยในการรับขน

สาระสำคัญเกี่ยวกับประกันภัยในการรับขน
1. ประกันภัยในการรับขน คือสัญญาประกันภัยเพื่อคุ้มครองวินาศภัยที่เกิดขึ้นในการขนส่งสินค้าจากสถานที่หนึ่งไปยังอีกสถานที่หนึ่ง ซึ่งอาจมีการเสี่ยงภัยในระหว่างการขนส่ง (ม.883)
2. สัญญาประกันภัยในการรับขน มีสาระสำคัญดังนี้
- เป็นสัญญาที่สมบูรณ์เมื่อมีการรับขนสินค้า
- เป็นสัญญาที่ไม่จำเป็นต้องระบุประเภทแห่งภัยที่ผู้รับประกันภัยเข้ารับเสี่ยงภัย
- คุ้มครองตั้งแต่เวลาที่ผู้รับขนส่งได้รับของไป จนถึงส่งมอบของนั้นแก่ผู้รับตราส่ง
- ค่าสินไหมทดแทนให้ผู้รับประกันภัยใช้ตามจำนวนวินาศที่แท้จริง
- ให้ตีราคาค่าสินไหมทดแทนตามราคาของที่ขนส่ง ณ ตำบลที่กำหนดให้ส่งของนั้น
3. วินาศภัยต่อทรัพย์ที่เอาประกันภัยซึ่งเกิดขึ้นจากการรับขน ได้แก่
(1) การสูญหาย
สินค้านั้นหลุดไปจากการครอบครองของผู้ขนส่งทั้งหมดหรือแต่
บางส่วน เนื่องจากถูกไฟไหม้ ถูกปล้น ถูกขโมย ฯลฯ
(2) การบุบสลาย
สินค้านั้นยังอยู่ในความครอบครองของผู้ขนส่ง แต่สภาพของสิน
ค้าเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมทั้งหมดหรือแต่บางส่วน เนื่องจากบุบ
สลาย แตกหักเสียหาย เสื่อมค่า เสื่อมราคา ขาดจำนวน ฯลฯ
(3) ความล่าช้า
สินค้านั้นส่งมอบให้แก่ผู้รับตราส่งล่าช้าหรือนานเกินควร ทำให้
สินค้านั้นเน่าเสีย นำไปติดตั้งไม่ทันกำหนด ฯลฯ
4. ถ้าของที่อยู่ระหว่างการขนส่งแล้วค่อยเอาประกันภัยทีหลัง กรณีเช่นนี้ให้คิดมูลประกันโดยนับรวมราคาของ ณ สถานที่และเวลาที่ผู้ขนส่งได้รับของ ค่าระวางส่งของไปยังสถานที่ส่งมอบแก่ผู้รับตราส่ง และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่มี (ม.884)
5. การขนส่งนั้น แม้ว่าระหว่างทางการขนส่งจะต้องสะดุดหยุดลงชั่วขณะก็ดี หรือจะต้องเปลี่ยนวิธีขนส่งโดยเหตุจำเป็นก็ดี ถือว่าสัญญาประกันภัยในการรับขนนั้นยังสมบูรณ์อยู่ เว้นแต่จะมีข้อตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น (ม.885)
จ. สาระสำคัญเกี่ยวกับประกันภัยค้ำจุน
1. ประกันค้ำจุน คือสัญญาประกันความรับผิดของผู้เอาประกันภัย ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดขึ้นแก่บุคคลที่ 3 โดยตกลงกันว่า ให้ผู้รับประกันภัยใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้เอาประกันภัยแก่บุคคลที่ 3 คนนั้น หากเกิดวินาศภัยขึ้นกับบุคคลที่ 3 หรือทรัพย์สินของบุคคลที่ 3 (ม.887 ว.1)
2. ประกันภัยค้ำจุน จะเกี่ยวข้องกับบุคคล 3 ฝ่าย คือ
(1) ผู้รับประกันภัย
ผู้มีหน้าที่ต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนแก่บุคคลที่ 3 และการจ่ายดังกล่าวจะจ่ายในนามของผู้เอาประกันภัย
(2) ผู้เอาประกันภัย
ผู้ก่อให้เกิดวินาศภัย และมีหน้าที่ต้องส่งเงินเบี้ยประกันแก่ผู้รับประกันภัย
(3) บุคคลที่ 3
ผู้เสียหายซึ่งได้รับผลแห่งวินาศภัย และมีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทนอันเกิดจากวินาศภัยนั้น
ตัวอย่าง : นายแดงผู้เอาประกันภัยเป็นเจ้าของรถยนต์คันหนึ่ง ไปทำสัญญาประกันภัยเพื่อบุคคลที่ 3 กับบริษัทมอสอทอประกันภัย ดังนั้น บริษัทมอสอทอประกันจึงอยู่ในฐานะผู้รับประกันภัย หากนายแดงขับรถไปชนรถของนายเขียวจนเสียหาย บริษัทมอสอทอประกันภัยจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับนายเขียวผู้เสียหายแทนนายแดง เป็นต้น
3. ถ้าความเสียหายนั้น มากเกินกว่าวงเงินที่ผู้รับประกันภัยได้ทำสัญญาประกันค้ำจุนกับผู้เอาประกัน ภัย ผู้รับประกันภัยจะจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลที่ 3 ไม่เกินกว่าวงเงินตามสัญญา หากบุคคลที่ 3 ไม่พอใจ ก็มีสิทธิยื่นฟ้องผู้รับประกันภัยต่อศาล โดยต้องเรียกผู้เอาประกันภัยเข้ามาสู่คดีด้วย (ม.887 ว.2)
ตัวอย่าง : นายแดงผู้เอาประกันภัยได้เอาประกันรถของตนเพื่อบุคคลที่ 3 ไว้ 100
,00 บาท แล้วขับรถไปชนรถของนายเขียวจนได้รับความเสียหาย 150,000 บาท กรณีเช่นนี้ บริษัทมอสอทอประกันภัยจะจ่ายให้นายเขียวสูงสุดเพียง 100,000 บาท ถ้านายเขียวต้องการให้บริษัทฯ รับผิดชอบเงินส่วนที่เหลืออีก 50,000 บาท นายเขียวมีสิทธิยื่นฟ้องบริษัทฯ และจะต้องเรียกนายแดงเข้ามาสู่คดีด้วย
4. เมื่อได้นำคดีขึ้นสู่ศาลแล้ว ต่อมาศาลมีคำพิพากษาให้ผู้รับประกันภัยจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลที่ 3 ไม่คุ้มค่าเสียหายจริงซึ่งมากกว่า ผู้เอาประกันภัยยังต้องรับผิดในส่วนที่ยังขาดอยู่ เว้นแต่บุคคลที่ 3 ได้ละเลยโดยไม่ได้เรียกผู้เอาประกันภัยเข้ามาสู่คดีด้วย (ม.888)
ตัวอย่าง : เมื่อนายเขียวยื่นฟ้องบริษัทมอสอทอประกันภัยแล้ว ปรากฏว่าศาลมีคำพิพากษาให้บริษัทฯ จ่ายค่าสินไหมทดแทนแก่นายเขียวจำนวน 80
,000 บาท ค่าเสียหายส่วนที่เหลืออีก 70,000 บาท นายแดงจะ ต้องรับผิดชอบ …..แต่ถ้าการยื่นฟ้องบริษัทฯ แล้วนายเขียวลืมเรียกให้นายแดงเข้ามาสู่คดี กรณีเช่นนี้ นายแดงไม่ต้องรับผิดชอบเงินส่วนที่เหลืออีก 70,000 บาท และนายเขียวจะไปเรียกร้องเอาจากใครไม่ได้เลย
5. อายุความในสัญญาประกันค้ำจุน
(1) ฟ้องผู้เอาประกันภัยฐานละเมิด มีอายุความ 1 ปี นับแต่วันทำละเมิด (ม.448)
(2) ฟ้องผู้รับประกันภัยเรียกค่าสินไหมทดแทน มีอายุความ 2 ปี นับแต่วันที่สิทธิจะเรียกให้ใช้ค่าสินไหมทดแทนนั้นถึงกำหนด (ม.882)
ตัวอย่าง : นายแดงขับรถชนรถของนายเขียวเป็นการทำละเมิด นายเขียวมีสิทธิยื่นฟ้องนายแดงในความผิดฐานละเมิดได้ภายใน 1 ปี แต่ถ้านายเขียวยื่นฟ้องนายแดงเกิน 1 ปีแล้ว ถือว่าขาดอายุความไปแล้ว กรณีเช่นนี้ บริษัทมอสอทอประกันภัยซึ่งต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแทนนายแดง ย่อมหลุดพ้นความรับผิด ไปด้วย

ฉ. สาระสำคัญเกี่ยวกับการประกันชีวิต
มาตรา 889 วางหลักไว้ว่า
การใช้จำนวนเงินในสัญญาประกันชีวิต ย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของบุคคลคนหนึ่ง
การอธิบายความหมายของการประกันชีวิต ต้องอาศัย ม.889 และ ม.861 อธิบายควบคู่กัน ดังนี้
ประกันชีวิต คือสัญญาซึ่งผู้รับประกันชีวิตตกลงจะใช้เงินจำนวนหนึ่งให้แก่ผู้เอาประกันชีวิต หรือผู้รับประโยชน์ ในเมื่อผู้เอาประกันชีวิตหรือผู้ที่ถูกเอาประกันชีวิตไว้ได้ตายลง (ความมรณะ) หรือเมื่อผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่จนถึงเวลาตามที่ได้ตกลงกันไว้ (ความทรงชีพ) และในการนี้ผู้เอาประกันชีวิตตกลงจะส่งเบี้ยประกันให้แก่ผู้รับประกันชีวิต
จากความหมายของประกันชีวิตดังกล่าว สามารถแยกเป็นประเด็นได้ดังนี้
(1) ต้องมีบุคคล 2 ฝ่าย เข้าร่วมตกลงกันทำสัญญา คือ ผู้เอาประกันชีวิตและผู้รับประกันชีวิต
(2) ต้องมีข้อตกลงเกี่ยวกับความตายหรือความทรงชีพ
(3) ผู้เอาประกันชีวิตตกลงจะส่งเบี้ยประกันให้แก่ผู้รับประกันชีวิต
(4) ผู้รับประกันชีวิตตกลงจะจ่ายเงินจำนวนหนึ่งให้แก่ผู้เอาประกันชีวิตหรือผู้รับประโยชน์
ลักษณะสำคัญของสัญญาประกันชีวิต คือ
(1) เป็นสัญญาที่รัฐต้องควบคุมดูแล
…..การประกอบกิจการจึงต้องได้รับอนุญาตจากรัฐ
(2) มิใช่สัญญาชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
…..แต่มุ่งจะช่วยเหลือผู้ซึ่งต้องอาศัยพึ่งพาผู้ตาย
(3) ไม่จำเป็นต้องประมาณราคาส่วนได้เสียเป็นเงิน
…..ผู้เอาประกันชีวิตสามารถตกลงกับผู้รับประกันชีวิตในจำนวนเงินมากน้อยเพียงใดก็ได้
หากพิจารณาจาก ม.889 จะพบว่า การประกันชีวิตแบ่งได้ 2 ประเภท คือ
(1) ประเภทซึ่งอาศัยความทรงชีพของบุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นหลักในการใช้เงิน
- เป็นสัญญาที่ผู้รับประกันชีวิตตกลงจะใช้เงินให้แก่ผู้เอาประกันชีวิต หากผู้เอาประกันชีวิต
หรือผู้ถูกเอาประกันชีวิตยังมีชีวิตอยู่จนถึงกำหนดเวลาตามที่ตกลงกันไว้
- หากผู้เอาประกันชีวิตหรือผู้ถูกเอาประกันชีวิตถึงแก่ความตายก่อนถึงกำหนดเวลาตามที่ตก
ลงกันไว้ ผู้รับประกันชีวิตก็ไม่ต้องใช้เงินให้
(2) ประเภทซึ่งอาศัยความมรณะของบุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นหลักในการใช้เงิน
- เป็นสัญญาที่ผู้รับประกันชีวิตตกลงจะใช้เงินให้แก่ผู้เอาประกันชีวิตหรือผู้รับประโยชน์ เมื่อ
ผู้เอาประกันชีวิตหรือผู้ถูกเอาประกันชีวิตได้ตายลงภายในกำหนดเวลาตามที่ตกลงกันไว้
- หากผู้เอาประกันชีวิตไม่ตายภายในกำหนดเวลาตามที่ตกลงกันไว้ ผู้รับประกันชีวิตก็ไม่ต้องใช้เงินให้
จะเห็นว่า การประกันชีวิตทั้ง 2 ประเภทดังกล่าว ต่างมีจุดอ่อน ทำให้ไม่มีคนสนใจในเรื่องการประกันชีวิต จึงเกิดการประกันชีวิตประเภทที่ 3 ในลักษณะผสม เรียกว่า การประกันชีวิตแบบสะสมทุนหรือสะสมทรัพย์ กล่าวคือ มีความคุ้มรอง มีการออมทรัพย์ และเป็นการลงทุน
เกณฑ์การพิจารณาเกี่ยวกับการประกันชีวิต มีดังนี้คือ
1. การพิจารณาเกี่ยวกับการประกันชีวิต ต้องนำบทบัญญัติ ม.863
, 865 , 893 มาวินิจฉัยร่วมกัน
2. การมีส่วนได้เสียในสัญญาประกันชีวิต ให้นำบทบัญญัติ ม.863 มาใช้บังคับ กล่าวคือ
(1) ส่วนได้เสียนั้นต้องมีอยู่ในขณะทำสัญญาประกันชีวิต
……สามีหรือภรรยาได้เอาประกันชีวิตของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไว้ แม้จะได้หย่าขาดจากกันไปในภายหลัง สัญญาประกันชีวิตที่ทำไว้นั้นยังคงผูกพันอยู่
(2) ผู้ใดเอาประกันชีวิตของตนเอง ผู้นั้นคือผู้มีส่วนได้เสีย
(3) ผู้ใดเอาประกันชีวิตของผู้อื่น ต้องพิจารณาว่าผู้นั้นต้องมีความสัมพันธ์กับบุคคลที่ตนจะเอาประกันชีวิตหรือไม่ ถ้ามีก็ถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสีย ตัวอย่างเช่น
- สามีภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมาย ถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียในชีวิตของกันและกัน
- ชายหญิงที่เป็นคู่หมั้นกัน ถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียในชีวิตของกันและกัน
- บิดามารดากับบุตร ถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียในชีวิตของกันและกัน
- พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน พี่น้องร่วมแต่บิดาหรือมารดาเดียวกัน ปู่ ย่า ตา ยาย และลุง ป้า น้า อา ถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียในชีวิตกับผู้เอาประกัน
- สามีภรรยาอยู่กินกันโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียในชีวิตของกันและกัน
- บุตรนอกสมรสซึ่งบิดารับรองการเป็นบุตรแล้ว ไม่ถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียในชีวิตกับบิดา
- เจ้าหน้ามีส่วนได้เสียในชีวิตของลูกหนี้
- นายจ้างมีส่วนได้เสียในชีวิตของลูกจ้าง
- ผู้เป็นหุ้นส่วนมีส่วนได้เสียในชีวิตของกันและกัน
3. การเปิดเผยข้อความจริงในการทำสัญญาประกันชีวิต ให้นำบทบัญญัติ ม.865 มาใช้บังคับ กล่าวคือ
(1) ผู้เอาประกันชีวิตและผู้ถูกเอาประกันชีวิต มีหน้าที่จะต้องเปิดเผยข้อความจริงในการทำสัญญาประกันชีวิต
(2) ข้อความจริงที่เปิดเผยนั้น จะต้องมีความสำคัญถึงขนาดทำให้ผู้รับประกันชีวิตเรียกเบี้ยประกันชีวิตสูงขึ้น หรือบอกปัดไม่ยอมทำสัญญาประกันชีวิตด้วย
(3) ความสำคัญถึงขนาดเพียงใด ต้องถือตามความคิดเห็นของวิญญูชนทั่วไปเป็นหลัก
(4) การเปิดเผยข้อความจริง ต้องกระทำในขณะทำสัญญาประกันชีวิต
(5) ผู้เอาประกันชีวิตปกปิดความจริงเกี่ยวกับโรคร้ายแรงโรคหนึ่ง และต่อมาผู้เอาประกันชีวิตนั้นถึงแก่ความตายด้วยโรคอื่น สัญญาประกันภัยยังคงเป็นโมฆียะ
4. การแถลงอายุผู้เอาประกันชีวิตหรือผู้ถูกเอาประกันชีวิตคลาดเคลื่อน ให้นำบทบัญญัติ ม.893 มาใช้บังคับ กล่าวคือ
มาตรา 893 วางหลักไว้ว่า
การใช้เงินโดยอาศัยเหตุความทรงชีพหรือมรณะของบุคคลใด แม้ได้แถลงอายุของบุคคลนั้นไว้คลาดเคลื่อนไม่ถูกต้อง เป็นเหตุให้กำหนดเบี้ยประกันไว้ต่ำ ให้ลดจำนวนเงินที่ผู้รับประกันชีวิตจะต้องใช้นั้นลงตามส่วน
แต่ถ้าผู้รับประกันชีวิตพิสูจน์ได้ว่า ในขณะทำสัญญานั้น อายุที่ถูกต้องแท้จริงอยู่นอกจำกัดอัตราตามทางค้าปกติของเขาแล้ว สัญญานั้นเป็นโมฆียะ

คำอธิบาย
(1) การแถลงอายุคลาดเคลื่อนไม่จำเป็นต้องเป็นความเท็จ อาจแถลงคลาดเคลื่อนโดยสุจริตก็ได้
(2) เฉพาะกรณีที่เป็นเหตุให้กำหนดจำนวนเบี้ยประกันภัยไว้ต่ำเท่านั้น (ม.893 ว.1) เช่น อายุจริง 50 ปี แต่แถลงว่า 40 ปี
(3) ให้ผู้รับประกันชีวิตลดจำนวนเงินที่จะต้องใช้ให้แก่ผู้เอาประกันชีวิตหรือผู้รับประโยชน์ลงตามส่วนได้ (ม.893 ว.1)
(4) ถ้าหลักเกณฑ์การรับประกันชีวิตบุคคลอายุไม่เกิน 60 ปี แต่ในขณะที่ทำสัญญาประกันชีวิตนั้น ผู้เอาประกันชีวิตแจ้งว่าอายุ 55 ปี ทั้งๆ ที่อายุจริงกว่า 60 ปีแล้ว หากผู้รับประกันชีวิตพิสูจน์ได้เช่นนั้น สัญญาประกันชีวิตเป็นโมฆียะ (ม.893 ม.2)
5. ผลของการไม่เปิดเผยข้อความจริง
(1) ผู้รับประกันชีวิต เป็นผู้มีสิทธิบอกล้างสัญญาประกันชีวิตที่เป็นโมฆียะ (ม.865 ว.1)
(2) ต้องบอกล้างภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด กล่าว คือ ภายใน 1 เดือน นับแต่วันที่ผู้รับประกันภัยทราบมูลอันจะบอกล้างได้ หรือภายใน 5 ปี นับแต่วันทำสัญญา (ม.865 ว.2)
(3) ถ้ามิได้ใช้สิทธิภายในระยะเวลาดังกล่าว สิทธิการบอกล้างเป็นอันระงับสิ้นไป (ม.865 ว.2)
(4) แต่ถ้าผู้รับประกันชีวิตได้รู้ว่า ผู้เอาประกันชีวิตหรือผู้ถูกเอาประกันชีวิตปกปิดความจริงไว้ หรือข้อความที่แถลงนั้นไม่เป็นความจริง หรือถ้าผู้รับประกันชีวิตจะไม่รู้ แต่หากได้ใช้ความระมัดระวังเช่นวิญญูชนแล้ว ผู้รับประกันชีวิตควรจะรู้ได้ไม่ยาก สัญญาประกันชีวิตนั้นเป็นอันสมบูรณ์ (ม.866)
6. ข้อยกเว้นความรับผิดของผู้รับประกันชีวิต ได้ระบุไว้ใน ม.895 ดังนี้
มาตรา 895 วางหลักไว้ว่า
เมื่อใดจะต้องใช้จำนวนเงินในเหตุมรณะของบุคคลคนหนึ่งคนใด ผู้รับประกันต้องใช้เงินนั้นเมื่อมรณภัยนั้นได้เกิดขึ้น เว้นแต่
(1) บุคคลผู้นั้นได้กระทำอัตวิบาตด้วยใจสมัครภายในปีหนึ่ง นับแต่วันทำสัญญา หรือ
(2) บุคคลนั้นถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา
ในกรณีที่ 2 นี้ ผู้รับประกันชีวิตจะต้องใช้เงินค่าไถ่ถอนกรมธรรม์ให้แก่ผู้เอาประกันชีวิตหรือให้แก่ทายาทของผู้นั้น

คำอธิบาย
(1) ผู้กระทำอัตวิบาตรหรือฆ่าตัวตายนั้น ต้องกระทำด้วยความสมัครใจ หมายความว่า กระทำโดยรู้อยู่ว่า ตนกำลังทำอะไร
….กรณี วิกลจริตก็ดี ถูกลวงให้หลงเสียจนไม่รู้ว่าตนกำลังทำอะไรอยู่ก็ดี หรือถูกบังคับให้ทำ ไม่เข้า ม.895 (1)
(2) ต้องเป็นการฆ่าตัวตายภายใน 1 ปี นับแต่วันทำสัญญา จึงจะเข้า ม.895 (1)
………ถ้าไปฆ่าตัวตายเมื่อเลย 1 ปี ไปแล้ว ผู้รับประกันชีวิตยังต้องรับผิดอยู่
(3) กรณีผู้รับประโยชน์เจตนาฆ่าผู้เอาประกันชีวิตหรือผู้ถูกเอาประกันชีวิต เพื่อหวังเงินประกันชีวิต เข้าข้อยกเว้นตาม ม.895 (2) ผู้รับประกันชีวิตไม่ต้องใช้เงินให้แก่ผู้รับประโยชน์ หรือทายาทของผู้เอาประกัน แต่ต้องใช้เงินไถ่ถอนค่ากรมธรรม์ให้แก่ผู้เอาประกันชีวิตหรือทายาท ตาม ม.895 ว.2
(4) กรณีผู้รับประโยชน์มีเจตนาฆ่าผู้เอาประกันชีวิต แต่เป็นการกระทำโดยป้องกันตนเองพอสมควรแก่เหตุ ตาม ปอ. ม.68
……กรณีนี้ไม่เข้าข้อยกเว้นตาม ม.895 (2) ดังนั้น ผู้รับประกันชีวิตยังต้องรับผิดอยู่
(5) ถ้าผู้เอาประกันชีวิตได้โอนสิทธิรับประโยชน์ไปให้บุคคลอื่นตาม ม.891 ทำให้ผู้รับประโยชน์คนนั้นหมดสิทธิไปแล้ว แต่ไม่ทราบความจริง ต่อมาได้ไปฆ่าผู้เอาประกันชีวิต
……….กรณีนี้ไม่เข้าข้อยกเว้นตาม ม.895(2) ดังนั้น ผู้รับประกันชีวิตยังต้องรับผิดอยู่ ……แต่ถ้าผู้รับโอนประโยชน์ไปฆ่าผู้เอาประกันชีวิต กรณีนี้เข้าข้อยกเว้นตาม ม.895 (2) ผู้รับประกันชีวิตไม่ต้องรับผิด
7. สาระอื่นๆ ที่สำคัญเกี่ยวกับสัญญาประกันชีวิต ได้แก่
(1) การใช้เงินประกันชีวิตแก่ผู้เอาประกันหรือผู้รับประโยชน์ จะจ่ายเป็นรายเดือนหรือรายปีก็ได้ แต่แต่จะตกลงกันเอง ตาม ม.890
(2) กรณีที่ผู้เอาประกันชีวิตมิได้เป็นผู้รับประโยชน์เอง ผู้ประกันชีวิตคนนั้นมีสิทธิโอนประโยชน์ให้แก่บุคคลอื่นที่เรียกว่า
ผู้รับโอนประโยชน์ได้ ตาม ม.891 เว้นแต่จะครบองค์ประกอบ 2 ประการ คือ
- ได้ส่งมอบกรมธรรม์ประกันชีวิตให้แก่ผู้รับประโยชน์ไปแล้ว และ
- ผู้รับประโยชน์คนนั้นได้แสดงเจตนายอมรับประโยชน์เช่นนั้น โดยบอกกล่าวเป็นหนังสือ
ไปยังผู้รับประกันชีวิตแล้ว
(3) กรณีที่ผู้เอาประกันชีวิตบอกล้างสัญญาประกันชีวิตที่เป็นโมฆียกรรม ตาม ม.865 ผู้รับประกันชีวิตต้องคืนค่ากรมธรรม์ประกันชีวิตให้แก่ผู้เอาประกันชีวิตหรือทายาท ตาม ม.892
(4) ผู้เอาประกันชีวิตจะบอกเลิกสัญญาประกันชีวิตเมื่อใดก็ได้ เพียงแต่งดส่งเบี้ยประกันชีวิตเสีย ก็ถือว่าเป็นการบอกเลิกแล้ว ตาม ม.894
……แต่ถ้าบอกเลิกก่อนครบ 3 ปี ไม่ได้คืนค่ากรมธรรม์ประกันภัย
(5) กรณีความตายของผู้เอาประกันชีวิตหรือผู้ถูกเอาประกันชีวิตเกิดจากความผิดของบุคคลภายนอก ผู้รับประกันชีวิตไม่มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนจากบุคคลภายนอกนั้น ตาม ม.896
…….แต่ทายาทของผู้ตายมีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนจากบุคคลภายนอกนั้น แม้ว่าจะได้รับเงินประกันจากผู้รับประกันแล้วก็ตาม
(6) ผู้เอาประกันชีวิตได้กำหนดเงื่อนไขให้ชำระเงินแก่ทายาท ตาม ม.897 มีแนวพิจารณา 2 กรณี คือ
- กรณีไม่ได้ระบุตัวผู้รับประโยชน์
……เงินประกันชีวิตที่ผู้รับประกันชีวิตจ่ายให้ทั้งหมดต้อง
กลับเข้าสู่กองมรดกของผู้ตาย ดังนั้น เจ้าหนี้ของผู้ตายมีสิทธิเรียกชำระหนี้เอาจากเงินนี้ได้

- กรณีระบุตัวผู้รับประโยชน์ ……ผู้รับประโยชน์คนนั้นมีสิทธิได้รับเงินประกันชีวิตนั้น แต่
ต้องส่งเงินเท่าจำนวนเงินเบี้ยประกันที่ผู้เอาประกันชีวิตได้ส่งให้แก่ผู้รับประกันชีวิตไปแล้ว
คืนเข้าสู่กองมรดก เช่นเดียวกัน เจ้าหนี้ของผู้ตายมีสิทธิเรียกชำระหนี้เอาจากเงินนี้ได้
(7) อายุความเกี่ยวกับสัญญาประกันชีวิต ในการฟ้องเรียกให้ใช้เงินประกันชีวิตก็ดี หรือให้คืนเบี้ยประกันชีวิตก็ดี มีอายุความ 10 ปี นับแต่วันทำสัญญา ตาม ม.193/3
8. สิทธิของผู้เอาประกันชีวิต
(1) สิทธิเรียกร้องให้ชดใช้เงินประกันชีวิต (ม.861)
(2) สิทธิบอกเลิกสัญญาประกันชีวิต (ม.894)
(3) สิทธิได้รับค่าไถ่ถอนกรมธรรม์ประกันชีวิตหรือรับกรมธรรม์ใช้เงินสำเร็จ (ม.895 ว.2)
(4) สิทธิลดเบี้ยประกันชีวิต (ม.864)
(5) สิทธิโอนประโยชน์ให้บุคคลอื่น (ม.891)
9. หน้าที่ของผู้เอาประกันชีวิต
(1) หน้าที่ส่งเบี้ยประกันชีวิต (ม.861)
(2) หน้าที่เปิดเผยข้อความจริง (ม.865 ว.1)
10. สิทธิของผู้รับประกันชีวิต
(1) สิทธิบอกล้างโมฆียะแห่งสัญญาประกันชีวิต (ม.865 ว.1)
(2) สิทธิที่จะไม่ต้องรับผิดต่อการกระทำบางอย่างของผู้เอาประกันชีวิตและผู้รับประโยชน์
(3) สิทธิที่จะลดจำนวนเงินเบี้ยประกันชีวิต
11. หน้าที่ของผู้รับประกันชีวิต
(1) หน้าที่กำหนดเบี้ยประกันชีวิต
(2) หน้าที่ใช้เงินประกันชีวิต
(3) หน้าที่คืนเงินค่าไถ่ถอนกรมธรรม์ประกันชีวิต

***************

.
.
Life Insurance Knowledge:Life Insurance , private, death, employee pensions and annuities,life insurance, educational, life insurance companies

No comments:

Post a Comment

Search for content in this blog.

Life Insurance